รีวิวหนัง “Blue Again” ตกผลึกดราม่า 3 ชั่วโมง ยกให้เป็นหนังไทย ดีที่สุดของปีนี้

ได้มาพบกับ Blue Again หนังไทย ที่มีความยาว ของเรื่องราว เทียบชั้นกับหนัง Avatar ภาคใหม่ที่จะเข้าโรงฉาย หนังนอกกระแส ที่มีความยาวถึง 3 ชั่วโมงนิด ๆ อัดแน่นด้วยปมดราม่า จัดจ้านที่ทะลวงลึก นี่คือ “Blue Again” หนังไทยฟอร์มเล็ก ๆ

ที่ถูกรับเลือกให้ เข้าสายประกวด ในเทศกาลหนังปูซานของปีนี้ ที่นำพาลีลาธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาออกมา ร้อยเรียงเป็น เรื่องราวชีวิต ในรั้ววิทยาลัย ได้อย่างบาดลึก กระทั่งทำให้เรา ต้องการจะยกให้เป็น หนังไทยเรื่องที่ยอดเยี่ยมในปี 2565 นี้ไปเลย

Blue Again กับเพื่อน

Blue Again คือเรื่องราวบนโลก ที่มิได้ใจดี กับเราเท่าไร

ของ เอ หญิงสาว ลูกครึ่งอีสาน-ตะวันตก ดิ้นรนเข้ามาเรียน ออกแบบแฟชั่น ในจ.กรุงเทพฯ โดยหวังว่า จะสามารถชุบชีวิต โรงย้อมครามของครอบครัว ที่กำลังจะตายลงไปได้ เธอได้พบกับ แพร เพื่อนซี้คนแรก ในมหาวิทยาลัยถูกดึงดูด เข้ามาอยู่ในวงโคจรของเธอ ด้วยต้นทุน ทางสังคมแล้วก็ความฝัน ที่คล้ายกัน

ในขณะที่ เอพยายามปกป้อง ความฝันของตน ไปพร้อม ๆ กับถักทอความสัมพันธ์ กับคนรอบข้างเอาไว้ แต่ว่าก็เหมือน เส้นด้ายจะขาดลง เป็นจังหวะที่ สุเมธ เพื่อนรักคนเดียว ในวัยเด็กผู้เป็นเซฟโซน ก็ได้กลับมาในวงโคจร ของเธออีกรอบ ในค่ำคืนวันคริสต์มาส ตามสัญญา แต่ว่ามันยิ่งกลับ ทำให้เอตั้งคำถาม กับตัวเองว่า ” บนโลกนี้…ที่ตรงไหนคือที่ของเธอจริง ๆ บ้าง ”

นี่คือผลงานสร้างหนัง เรื่องแรกของ นักทำหนังหน้าใหม่ “ฐาปณี หลูสุวรรณ” ที่ถือว่าประสบผลสำเร็จด้วยดี ตั้งแต่ออกตัวในเส้นทางนี้ จริง ๆ แล้วหนังเรื่องนี้ เป็นการต่อยอด มาจากหนังที่เธอ ทำส่งเป็นธีสิสโปรเจกต์ สำเร็จการศึกษาของตน ก่อนนำมาพัฒนาสร้างเป็นหนัง เรื่องยาวที่อัดแน่น ไปด้วยทุกอณูที่รายละเอียด ในแบบที่เธอต้องการจะเล่า พร้อมทั้งทำหน้าเขียนบทเอง อำนวยการสร้างเอง แล้วก็ยังดูแล หลายส่วนตัวเองด้วย

มั่นใจว่าหลายคน เห็นความยาวของหนัง ที่มากถึง 190 นาที อาจต้องตกใจ อย่างแน่นอน เนื่องจากมันคือ 3 ชั่วโมง ที่คุณจะต้องนั่งจดจ่ออยู่แต่ ในโรงหนัง กับอิริยาบถนั่งเดิม ๆ ที่อาจเป็นแผลกดทับได้

แต่ว่าพอได้ไปสัมผัส แล้วก็พิสูจน์ ด้วยตาตัวเองแล้วนั้น กับพบว่า Blue Again สามารถประคับประคองความยาวเหยียดของหนัง เอาไว้ได้อยู่หมัด เป็นหนัง 3 ชั่วโมง ที่แทบจะไม่มีจุดไหน ละสายตาและก็จังหวะ ที่เบื่อหน่าย เลยสักช็อตเดียว

แม้ว่าองค์ประกอบงานสร้างของ Blue Again จะยังมิได้ดิบดีอะไร เป็นเพียงแค่การยกระดับ มาตรฐานขึ้นมา จากหนังนักศึกษา ไปอีกขั้นหนึ่งแค่นั้น นี่คือหนังอิสระ ที่ไม่มีนายทุนใด ๆ มาช่วยซัพพอร์ต

แต่ว่าสิ่งที่หนัง ถ่ายทอดออกมาทั้งหมดนั้น เต็มไปด้วยความหมาย ที่คมคาย ร้อยเรียงเรื่องราว ออกมาได้มีจังหวะแล้วก็ชั้นเชิง ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ก็เลยเป็นหนังเรื่องยาวมาก ๆ ที่สามารถสะกดสายตา คนดูได้เอาไว้ แม้จะปวดเข้าห้องน้ำ ก็ไม่อยากจะลุกไปเข้า เนื่องจากกลัวจะพลาดดู ไม่ครบทุกซีน

Blue Again รีวิว

อีกทั้งหนังยังมี การใส่รายละเอียดเล็ก ๆน้อย ๆ แต่ว่าเรียบง่ายซ่อน ไว้ภายในหนังอยู่เรื่อย ๆ

โดยเฉพาะสิ่งของ แล้วก็ลูกเล่น เรื่องสีต่าง ๆ นี่เป็นหนังอีกเรื่อง ที่เห็นได้ชัดว่า ใช้โทนสีต่าง ๆ มาเป็นตัวแทน ของคาแรกเตอร์ตัวละครนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นนางเอก ที่มีโทนสีฟ้าเป็น ตัวแทนตามชื่อเรื่อง ขณะที่มิตรภาพรอบตัวเธอนั้น มีทั้งสีเหลืองหรือสีส้ม ที่ถูกนำมาใช้ ซึ่งเป็นโทนสีที่ค่อนข้างตัดกับสีฟ้า แต่ว่าเมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วนั้น มันเป็นสีที่ช่วยส่งเสริมกันและกัน ได้อย่างน่าแปลกใจ

แน่นอน ว่า เนื่องจาก BlueAgain เป็นหนังอิสระ เราก็เลยแทบจะ ไม่รู้จักนักแสดงในเรื่องเลย พวกเขาเป็นเพียงแค่นักแสดงโนเนม ที่ยังไม่มีชื่อเสียงใด ๆ แต่ว่านั่นก็ถือได้ว่าเป็นจุดเด่น แล้วก็ข้อดีของหนัง เนื่องจากพวกเขาสามารถ ช่วยกันประคองหนัง เอาไว้แบบเป็นทีม

บางทีอาจจะยังไม่ใช่การแสดง ที่ดีระดับเพอร์เฟ็ค แต่ว่าแอคติ้งแล้วก็อินเนอร์ของพวกเขา เป็นความสดใหม่แล้วก็น่าค้นหา โดยเฉพาะ “ตะวัน จริยาพรรุ่ง” ที่ถ่ายทอดอารมณ์ ออกมาได้ชัดเจน ด้วยท่าทีต่าง ๆ แม้จะไม่ต้องพูด บทเลยก็ตาม

แต่ว่าดีเด็ดแล้วก็ไฮไลต์ของจริง ของ BlueAgain ก็คือบทหนัง บทหนังที่ผู้กำกับ เป็นคนลงมือแต่งด้วยตัวเอง อาจจะยกได้ว่า เป็นบทหนังไทย ที่ดีที่สุดในรอบ ทศวรรษเลยก็ว่าได้ เนื่องจากบทหนังเรื่องนี้ เต็มไปด้วยมิติแล้วก็ความซับซ้อน

สำหรับการสำรวจตัวละคร ได้อย่างมีชั้นเชิง พูดได้ว่าบทหนัง สามารถพาคนดู ไปสอดส่องประเด็นต่าง ๆ ของคาแรกเตอร์ ที่ไม่ใช่แค่เพียง ตัวละครหลักแค่นั้น ทุกตัวละครในหนัง เรื่องมีภูมิหลังแล้วก็ปมของตน เกือบจะทั้งสิ้น แล้วก็หนังก็ใส่รายละเอียด มาได้กำลังดี

ทั้งยังบทหนังเรื่องนี้ ยังจัดจ้านด้วยการ ถือใส่ประเด็นที่มองดู อาจจะธรรมดา ๆ แต่กลับสร้างความอิมแพค ได้อย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งประเด็นความสัมพันธ์กับมิตรภาพ เรื่อยไปถึงสายสัมพันธ์ในครอบครัวแบบไทย แล้วก็เหวี่ยงไปเฉียด

ถึงประเด็นละเอียดอ่อน อย่างความเชื่อนับถือ ทางศาสนาด้วย ที่ต้องสารภาพเลยว่า BlueAgain สามารถไล่ตาม เก็บทุกรายละเอียด เอาไว้ได้อย่างคุ้มค่า เป็นบทหนังที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมง ได้อย่างเต็มที่